ชื่อเว็บบอร์ด จำนวนกระทู้ สร้างเมื่อ
Fiber Optics
ทำความรู้จักกับสาย Fiber Optic
Outdoor Fiber Optic

ทำไมถึงต้องใช้สาย Indoor/Outdoor?
จากการติดตั้งสาย OUTDOOR ของประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเดินสาย OUTDOOR จากภายนอกและเดินเข้าภายใน อาคารเลย ซึ่งตามข้อกำหนดสากลนั้น สาย OUTDOOR จะมีข้อเสียอยู่หนึ่งข้อคือ ลามไฟซึ่งไม่เหมาะสมกับการเดินภาย ในอาคาร ดังนั้นเพื่อความถูกต้องจึงนิยมใช้สาย INDOOR-OUTDOOR มาเดินแทนสาย OUTDOOR โดยจะมีราคาเพิ่มขึ้น ไม่มาก

Indoor Fiber Optic
สายไฟเบอร์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
โครงสร้างของสาย Fiber Optic นั้น จะมีชั้นของ Jacket ทีละชั้น มีดังนี้

1.เส้นแก้ว ( Optical Core) ซึ่งเป็นตัวนำสัญญาณ จะมีขนาดและเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 mm, 50 mm และ 62.5 mm
2.ฉนวนเคลือบ ( Codding) เป็นสารเคลือบแก้วให้นำสัญญาณได้ นิยมเคลือบจนแก้วมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 mm
3.ฉนวนป้องกัน ( Coating) เป็นเสมือนผนังของเส้นแก้วที่เคลือบให้ปลอดภัยขึ้น และใส่สีที่ผนังชั้นนี้ ซึ่งจะเคลือบจนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 250 mm
4.ปลอกสาย ( Buffer) เป็นเสมือนปลอกสาย หรือเสื้อชั้นในที่หุ้มป้องกัน มักมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 900 mm ( นิยมเรียก Buffer Tube)
5.ปลอกหุ้ม ( Jacket) เป็นเสมือนเสื้อนอกที่ใส่ให้เกิดความเรียบร้อย ฉนวนชั้นนี้จะมีความแตกต่างตามการใช้งานได้แก่ Indoor, Outdoor เป็นต้น

สาย Ext Grade คืออะไร ?

Ext Grade ย่อมาจาก Extend Grade หมายถึง เส้นแก้ว Optical ที่นำมาผลิตสาย Fiber Optic เป็นแก้วที่มีคุณภาพสูง มีความเป็นระเบียบในการจัดแสงที่ผ่านไปในตัวแก้ว ทำให้ลดการสูญเสีย ในการส่งสัญญาณได้ดี เลือกสายแบบไหนให้ เหมาะกับการใช้งานนี้
1. Duct Cable คือ สาย Outdoor ประเภทหนึ่งที่ออกแบบโครงสร้างไม่มีส่วนใดเป็นตัวนำไฟฟ้า ( All-Dielectric) ซึ่งจะมีคุณสมบัติกันฟ้าผ่า และจะมีแกนกลางที่ออกมารับโครงสร้างให้แข็งแรง การใช้งานจะนำไปร้อยในท่อ HDPE หรือท่อเหล็ก
2. Direct Burial คือ สายที่ถูกออกแบบมาให้สามารถฝังดินได้ โดยไม่ต้องร้อยท่อ Conduit ส่วนใหญ่จะมี Steel Armored ป้องกันสายภายใน
3.สาย Fig 8 คือ เป็นสายที่เดินในอากาศ ( Aerial) โดยลักษณะโครงสร้างของสายจะเหมือนเลข 8 โดยด้านบนของเลข 8 จะเป็น Sling ที่ใช้แขวนสาย และมี Steel Armor กันสัตว์แทะ
4. ADSS ย่อมาจาก All Dieletic self support กล่าวคือ เป็นสาย Outdoor แบบใหม่พัฒนามาให้มีโครงสร้างที่สามารถ แขวนตามเสาได้ โดยไม่ต้องใช้ Sling เพราะ Sling เป็นตัวนำไฟฟ้า อาจเกิดปัญหาที่ไฟช็อตหรือฟ้าฝ่าได้ ทั่วไปต้องเป็น Double Jacket เพื่อความคงทนในการใช้งานและป้องกันการรบกวนของสัตว์

Military Gade คืออะไร ?

1. MIL Grade = Military Grade เป็นมาตรฐานสำหรับสินค้าของกองทัพสหรัฐอเมริกาเป็นมาตรฐานที่สูงกว่า และมีคุณภาพ มากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
2. Shield 95 % หมายถึง เปอร์เซ็นต์เส้นลวดที่ถักทับฉนวนของสาย เพื่อลดหรือป้องกันการรบกวนของสนามแม่เหล็ก ซึ้งปกติทั่วไป หุ้มประมาณ 65 % แต่ถ้าต้องการสินค้าที่คุณภาพสูง ๆ ต้องหุ้ม 95%
3.สาย INTERLINK RG 6/ U ได้ถูกคัดเลือกให้ใช้ระบบ CCTV ในเขตพระราชฐานวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังจำนวน 30,000 เมตร อันเป็นการยืนยันคุณภาพของสาย CO-AXIAL INTERLINK ได้เป็นอย่างดี


เลือกใช้ Adapter ให้เหมาะสมได้อย่างไร
1. Adapter ของ Singlemode สามารถใช้ได้กับ Multimode และ Singlemode เพราะ Ferule ของ Singlemode จะมีความละเอียดและดีกว่า Multimode
2.หมดปัญหาสายใยแก้วหัก ขณะเข้าหัวหรือม้วนเก็บเพื่อความเรียบร้อย ใส่ในตู้หรือแผงกระจายสาย ด้วยการสวม Buffer Tube ขนาด 900 mm, ป้องกันการแตกหัก เพื่อความสะดวกและปลอดภัย สมเป็นมืออาชีพ
3.เครื่องมือ Terminate และ OTDR ราคาสุดพิเศษ เพื่อให้คุณเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง....

ความแตกต่างของ Polymer กับ Ceramic
Polymer เป็นวัสดุประดิษฐ์จาก PVC คล้าย ๆ กับพลาสติก ส่วน Ceramic ผลิตจากวัสดุ Zincronia ซึ่งเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง คุณสมบัติของ Ceramic จะคงทน มีความละเอียดกว่า Polymer มาก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือ Loss จะน้อยกว่า Polymer มาก

ชนิดของ Patch Card
1.แบบ Simplex คือ เป็นสายเดี่ยว ๆ ซึ่งนิยมใช้ในงาน Telecom

2.แบบ Duplex คือ สายคู่ติดกัน ที่มักจะใช้ในงาน Computer แต่ก็มีบางครั้งที่นำมาใช้ระบบ Telecom
3.แบบ Pigtails คือ แบบสายเดี่ยวหรือสายเปลือย และมีหัวด้านเดียว (ลักษณะเหมือนชื่อเรียกคือ “ หางหมู ”)

SX กับ LX ต่างกันตรงไหน ?

การส่งสัญญาณในสายใยแก้ว จะใช้วิธีส่งผ่านความยาวคลื่น โดยหากเป็นความยาวคลื่นของสาย Multimode ที่ 850 mm จะเรียกสั้น ๆ ว่า SX ( คลื่นสั้น) แต่ถ้าส่งผ่านสาย Singlemode (LX) สามารถรองรับสัญญาณได้ 2 ความยาวคลื่น ( Wavalenght) โดยขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ส่งสัญญาณ คือ 1310 nm และ 1550 nm ดังนั้นในการที่จะขยายระยะทาง ให้เพิ่มขึ้นอีกมาก ๆจึงต้องใช้ Wavalenght ที่ 1550 nm อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบจากคู่มืออุปกรณ์ SWITCH และ HUB ที่ต้องการต่อพ่วงว่าใช้ Wavalenght ใด เพื่อจะได้เลือกใช้ Media Converter ที่เหมาะสม

ที่มา: www.9engineer.com

มาตรฐานเส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) OM1, OM2 และ OM3

OM1, OM2 และ OM3 เป็นมาตรฐานของเส้นใยแก้วนำแสงชนิด Multimode ซึ่งถูกกำหนดขึ้นตามมาตรฐาน ISO/IEC 11801 โดยคุณสมบัติที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของมาตรฐานทั้ง 3 แบบ ก็คือ ค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) และค่าการสูญเสียของสาย (Attenuation) โดยมาตรฐาน ISO/IEC 11801 ได้มีการกำหนดมาตรฐานความกว้างของช่องสัญญาณ และมาตรฐานของค่าการสูญเสีย โดยเฉพาะเมื่อใช้ระบบการทำงานในระดับ Gigabit ไว้ดังนี้


ทุกวันนี้ หากเราเฝ้ามองวิวัฒนาการของระบบเครือข่าย เราจะพบว่า Ethernet ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Gigabit Ethernet หรือ 10 Gigabit Ethernet ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการทำงานบนสาย Fiber Optic แบบ Multimode และเป็นเทคโนโลยีที่มีความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยระบบ 10 Gigabit Ethernet ไม่เพียงแต่จะใช้งานบนเครือข่าย LAN ได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถขยายขอบเขตการใช้งานออกไปในระดับ WAN ได้อีกด้วย

และในขณะที่ Ethernet ได้รับการพัฒนาอยู่นั้น มาตรฐานของสายใยแก้วนำแสงชนิด Multimode ก็ได้รับการพัฒนาควบคู่กับ Ethernet มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยเริ่มตั้งแต่ OM1 ซึ่งถูกใช้งานสำหรับมาตรฐานทั่วไป ขณะที่ OM2 เป็นการพัฒนาเข้าสู่การทำงานในระดับ Gigabit Ethernet และ OM3 ซึ่งเป็นการทำงานในระดับ 10 Gigabit Ethernet

การใช้งานเส้นใยแก้วนำแสง MMF ทั่วไปในระดับ 10 Gigabit Ethernet นั้น จะมีข้อจำกัดด้าน Bandwidth และระยะทางที่สั้นมาก โดยสาย MMF โดยทั่วไปจะสนับสนุนการทำงานในระดับ 10 Gigabit Ethernet ที่ระยะทางประมาณ 25-82 เมตรเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากเราต้องการใช้งานสาย MMF ที่ระยะทาง 300 เมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่ยอมรับกันว่าเหมาะสมสำหรับโครงข่ายภายในอาคารและระบบศูนย์รวม ก็สามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับ Wide Wavelength Division Multiplexer ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ Active Device ทั้ง Transceiver และ WWDM ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพงเพิ่มขึ้น

จากปัญหาดังกล่าว OM3 จึงเป็นมาตรฐานใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในระดับ 10 Gigabit Ethernet ที่สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ไกลถึง 300 เมตร นอกจากนี้ OM3 ยังมีจุดเด่นอีกหลายประการไม่ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่าย, ความสามารถในการรองรับข้อมูลที่สูงขึ้น และที่สำคัญการที่ OM3 สามารถใช้ Wavelength ที่ 850 nm ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถ upgrade ระบบเครือข่ายสู่ระดับ 10 Gigabit Ethernet โดยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง เมื่อเทียบกับมาตรฐานปกติซึ่งใช้ 1310 nm ที่เป็นแบบ Multimode เท่านั้น

จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า สายใยแก้วนำแสงทั้งแบบ OM1, OM2 และ OM3 จะมีข้อแตกต่างกันไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตเองว่าจะมีการกำหนดสมรรถนะของสายให้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่าหรือดีกว่าได้อย่างไร ดังเช่นสายของ DRAKA ที่มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ

1. แบบ Standard
สาย Fiber Optic ชนิดนี้จะเป็นแบบ Graded Index Multimode ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อ LAN ที่มีการรับส่งข้อมูลจำพวก data, voice, video ซึ่งสามารถรองรับแหล่งจ่ายไฟชนิด LED, VCSEL และ Fabry-perot laser source

• Standard 62.5 um fibers (OM1)
- ที่ความยาวคลื่น 850 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 3.2 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 200 MHz.km
- ที่ความยาวคลื่น 1300 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 1.0 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 600 MHz.km

• Standard 50 um fibers (OM2)
- ที่ความยาวคลื่น 850 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 2.7 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 500 MHz.km
- ที่ความยาวคลื่น 1300 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 0.8 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 800 MHz.km

2. แบบ Hicap
สาย Fiber Optic ชนิดนี้เป็นสายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพดีกว่าแบบ Standard โดยดูได้จากค่า Attenuation ที่น้อยลง และค่า Bandwidth ที่มากขึ้นกับระยะทางที่รองรับสำหรับ 1000 Base-SX = 750 m และ 1000 Base-LX = 2000 m เมื่อใช้ Patch Cord LX ที่ 1300 nm

• Hicap 62.5 um fibers (OM1)
- ที่ความยาวคลื่น 850 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 3.2 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 200 MHz.km
- ที่ความยาวคลื่น 1300 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 1.0 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 600 MHz.km

• Hicap 50 um fibers (OM2)
- ที่ความยาวคลื่น 850 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 2.7 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 600 MHz.km
- ที่ความยาวคลื่น 1300 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 0.8 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 1200 MHz.km

3. แบบ Maxcap
Fiber Optic ชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ความยาวคลื่น 850 nm และ 1300 nm จากเดิมใช้ได้ที่ 1310 nm ซึ่งเป็นมาตรฐานเดิม สาย Fiber Optic แบบ Maxcap จะสามารถรองรับการใช้งานได้ในระดับ 10 Gigabit Ethernet ซึ่งต่างจาก 2 แบบแรกที่รองรับแค่ในระดับ 1 Gigabit เท่านั้น

• Maxcap 50 um fibers (OM 3)
- ที่ความยาวคลื่น 850 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 3.0 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 1500 MHz.km
- ที่ความยาวคลื่น 1300 nm จะมีค่าสูญเสียของสาย (Attenuation) < 1.0 dB/km และค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) > 500 MHz.km
- Effective laser launch bandwidth at 850 nm > 2000 MHz.km

ปัจจุบันความต้องการใช้งานระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่มีความเร็วสูงเริ่มมีมากขึ้น ตามปริมาณความต้องการติดต่อสื่อสารข้อมูล และความต้องการพัฒนาระบบเครือข่าย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Gigabit Ethernet ถือเป็นระบบที่จะสามารถรองรับความต้องการใช้งานในระดับดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ หากเราคำนึงถึงต้นทุนในการลงทุนด้านเครือข่ายแล้ว การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมต่อความต้องการถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการวางแผนลงทุนด้านเครือข่าย และหากเรามีความต้องการในระดับ Gigabit Ethernet แล้ว การเลือกใช้เส้นใยแก้วนำแสงชนิด OM2 ก็ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันสายผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ออฟติกอยู่ในมาตรฐาน OM2 ที่พร้อมรองรับการใช้งานในระดับ Gigabit Ethernet และพร้อมจะก้าวสู่มาตรฐาน OM3 หรือในระดับ 10 Gigabit Ethernet ในอนาคตอันใกล้
218 2014-06-19 22:08:06

Fiber Optic หรือใยแก้วนำแสงคือสายนำสัญญาณข้อมูลในระบบเครือข่ายที่สามารถรับส่งข้อมูลได้ไกลหลายๆกิโลเมตร
และมีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก รองรับการส่งข้อมูลที่มีปริมาณมากมายมหาศาลได้ Fiber Optic ถูกใช้แพร่หลาย
ในโครงข่ายการส่งข้อมูลความเร็วสูง เช่น ระบบเอสดีเอช (SDH) หรือระบบโซเน็ท (SONET), ระบบเส้นใยนำแสงสู่บ้าน
(Fiber To The Home: FTTH) เป็นต้น

การสื่อสารผ่านใยแก้วนำแสง เป็นระบบการสื่อสารที่ใช้แสงผสมกับข้อมูลที่ต้องการส่งในรูปแอนาลอกหรือแบบดิจิตอล
แล้วจึงส่งผ่านตัวกลางคือใยแก้วเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กมากมีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็น ไมครอน ซึ่งมีขนาดเล็กมากทำให้สายเคเบิล
1 เส้นสามารถรวมเอาสายสัญญาณหลายเส้นเข้าด้วยกัน แสงจะถูกส่งผ่านไปยังตัวรับคือโฟโตดีเทคเตอร์เพื่อแปลผลค่าสัญญาณ
จากแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แปรผลเป็นข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง การสื่อสารผ่านเส้นใยนำแสงมีจุดเด่นคือสามารถ
ส่งสัญญาณหลายๆช่องไปได้พร้อมๆกัน โดยใช้เทคนิคการผสมสัญญาณ (Multiplexing) ที่นิยมใช้คือการทำ WDM (Wavelength Divison Multiplexing) เป็นการส่งสัญญาณแต่ละช่องด้วยแสงที่มีความยาวคลื่นต่างกัน ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้มากมหาศาล เมื่อเทียบกับ
การสื่อสารผ่านสายทองแดงแบบเดิม ให้พิจารณาเป็นเบื้องต้นดังนี้

1. ใช้ส่งข้อมูลข้ามทวีป ผ่านเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ เนื่องจากมีการสูญเสียสัญญาณต่ำกว่าสัญญาณสัญญาณไฟฟ้า ทำให้ใช้ตัวทวนสัญญาณ
น้อย ส่งสัญญาณได้ระยะทางไกล ความคุ้มค่าสูง

2. ส่งข้อมูลได้มหาศาลในเวลาเดียวกันเมื่อเทียบกับการสื่อสารผ่านสายทองแดง เนื่องจากเทคโนโลยีการสื่อสารแสงมีความผิดเพี้ยนของสัญญาณต่ำเมื่อทำการรวมกันของข้อมูลหลายๆช่องสัญญาณ

3. ไม่มีผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถติดตั้งได้ในบริเวณที่มีไฟฟ้าแรงสูง หรือฟ้าผ่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

4. ข้อมูลรั่วไหลได้ยาก การลักลอบขโมยสัญญาณจากระบบใยนำแสงทำได้ยาก



คุณสมบัติของ Fiber Optic

- Fiber Optic ภายในทำจากแก้วที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก

- มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเท่าเส้นผมของคนเรา

- รับส่งสัญญาณได้ระยะไกลมากเป็นกิโลเมตร

- ต้องใช้ผู้ชำนาญ และเครื่องมือเฉพาะในการเข้าหัวสัญญาณ

- ราคาแพงหลายเท่า เมื่อเทียบกับสายแลนประเภท CAT5



Fiber Optic แบ่งออกได้ 2 ประเภท

1. เส้นใยแก้วนำแสงชนิดโหมดเดี่ยว (Singlemode Optical Fibers, SM)

2. เส้นใยแก้วนำแสงชนิดหลายโหมด (Multimode Optical Fibers, MM)



การนำไปใช้งานของ Fiber Optic

- ตึกสูงๆ ที่ต้องการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย ทำเป็น Backbone (สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก)

- ระบบการรับส่งสัญญาณภาพ วีดีโอ ตามพื้นที่ต่างๆ

- การใช้งานกับกล้องวงจรปิด

- และอื่นๆ อีกมากมาย
1 2014-06-18 21:53:10
บทความน่ารู้เกี่ยวกับระบบ CCTV
บทความที่จะนำทุกท่าน ให้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับ ระบบกล้องวงจรปิด อย่างละเอียด แต่จะอธิบายให้ง่ายที่สุดครับ
กล้องวงจรปิดคือ ?
กล้องวงจรปิด ( CCTV = Closed-circuit television )
คือ การใช้กล้องวีดีโอเพื่อถ่ายทอดภาพไปยังอุปกรณ์ ปลายทาง อาทิเช่น จอมอนิเตอร์ หรือ เครื่องบันทึกภาพ
มันแตกต่างกับระบบกระจายสัญญาณโทรทัศน์ ทั่วไป ที่มันกระจายภาพทางอากาศไปยังทุกที่ ที่สัญญาณภาพกระจายไปถึง แต่กล้องวงจรปิด จะจับภาพในพื้นที่เฉพาะจุด และกล้องวงจรปิด มักจะถูกใช้บ่อย ในการเฝ้าระวัง (surveillance) ในพื้นที่ที่ต้องการตรวจสอบ เช่น สนามบิน ท่าอากาศยาน ธนาคาร ร้านค้า โรงงาน ทางทหาร ถนนหนทาง จุดล่อแหลม ต่างๆ เรียกเป็น ระบบกล้องวงจรปิด ทั้งหมด
แต่ไม่แค่นั้น กล้องวงจรปิด ยังสามารถใช้ประโยชน์ อย่างอื่นนนอกจากการเฝ้าระวัง ได้อีกดังนี้
ประโยชน์ของกล้องวงจรปิด
เฝ้าระวังความปลอดภัยของบุคคลและสถานที่ ควรมีบุคคลนั่งตรวจสอบหน้าจอโดยเฉพาะ และควรมีระบบแจ้งเตือนประกอบด้วย
ตรวจสอบการทำงานของพนักงานหรือ การทำงานของเครื่องจักร
ทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ เช่น ใช้ดูสังเกตุการจากพื่นที่ไกล เพื่อควบคุมจากระยะไกล
ใช้เป็น วีดีโอ ในการศึกษาผ่านทางไกล หรือใช้เป็นช่องทางการสื่อสารต่างๆ เช่น VDO conference ต้องใช้ ไมล์เสียง ประกอบด้วย
ตรวจสอบคุณภาพ เช่นใช้ดูชิ้นงานจาก Line การผลิต จากห้องควมคุมกลาง ช่วยย่นระยะเวลาในการตรวจสอบได้มาก
ใช้ดูภาพภายในห้องที่สภาพแวดล้อมไม่เหมาะกับการอยู่ของมนุษย์ เ่ช่น ห้องสารเคมีรุนแรง กลิ่นแรง หรือสิ่งที่ต้องการดูอยู่ในที่สูง หรืออยู่ไกลจากผู้ต้องการดู
ใช้ดูในจุดล่อแหลมเพื่อป้องกันตนเอง เช่น ดูผู้กดกริ่งหน้าบ้าน ดูผู้มาติดต่อ ดูในจุดเปลี่ยวอันตรายโดยไม่ต้องเดินทางเข้าไปเสี่ยงในจุดนั้น
ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี หรือเป็นหลักฐานป้องกันการกล่าวหา กรณีเกิดเหตุการไม่คาดคิด หรือเป็นหลักฐานการหมิ่นประมาท (ต้องใช้ไมล์เสียงประกอบด้วย)
ใช้เพื่อการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เช่น การให้ลูกค้าได้ดูงานกระบวนการผลิตอันมีมาตรฐานของโรงงาน หรือให้ดูปริมาณสินค้าในสต้อก หรือให้ดูวิวทิวทัศน์ในสนามกอร์ฟ, ที่พัก หรือให้ดูความคืบหน้าของงานซ่อมในอู่ซ่อมรถ เป็นต้น
ใช้จับผิดผู้ต้องสงสัย :angry: เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี เช่น สงสัยการขโมยของจากพนักงานภายใน หรือดูพฤติกรรมพี่เลี้ยงเด็ก เป็นต้น มักจะใช้กล้องอำพราง โดยเฉพาะ
ใช้เพื่อความบันเทิง เช่น ช่องหลินปิง เป็นต้น :woohoo: ก็มีหลายท่านนะครับที่ ติดดูสัตว์เลี้ยงที่บ้าน :lol: หรือดูพฤติกรรมของแฟนให้หายคิดถึง :P แต่มักจะเป็นผลพลอยได้มากกว่าครับ
ใช้เพื่อย้อนความจำ นี่ก็มักจะเป็นผลพลอยได้อีกเช่นกัน สำหรับคนขี้ลืม "ผมก็ใช้บ่อย 555 :P "
ใช้ตรวจสอบเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ เช่น ดูว่าหน้าบ้านรถติดไหม ฝนตกหรือป่าว มีใครมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านไหม น้ำท่วมสูงแค่ไหนแล้ว มักใช้คู่กับระบบดูภาพผ่านมือถือ
ใช้สำหรับการค้นคว้าวิจัย เรื่องต่างเฉพาะด้าน เช่น สัตวแพทย์ ใช้แอบดูพฤติกรรมสัตว์บางชนิดแบบไม่รบกวนสัตว์ :whistle: เพื่อการศึกษา หรือนักเคมี นักสิ่งแวดล้อม ดูความเปลี่ยนแปลงของเมฆ หรือระดับน้ำ หรือสีของบ่อบำบัด เป็นต้น

ภาพของกล้องวงจรปิดมักจะมีการบันทึกลงในอุปกรณ์ บันทึกภาพ (DVR = Digital Video Recorder)
ในการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น สามารถบันทึกได้นานเป็นเดือน หรือเป็นปีเลยทีเดียว ซึ่งความแตกต่างเรื่องเวลาในการบันทึก มันขี้นกับปัจจัยหลายประการเช่น
ขนาดพื้นที่ของอุปกรณ์ในการบันทึกภาพ เช่น HDD มีปริมาณ มากน้อยแค่ไหน 500GB หรือ 1TB หรือ 2TB และใส่ HDD กี่ลูก (DVR แต่ละรุ่น รองรับจำนวน HDD ได้ไม่เท่ากัน)
ความละเอียดในการบันทึก จะถูกแบ่งย่อยออกเป็น อีก 3หัวข้อคือ 1.ขนาดของภาพ 2.เฟรมเรท 3.เบนด์วิทด์ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง DVR )
รูปแบบการเข้ารหัสสัญญาณภาพ เช่น H.264 MPEG4 MJPEG เป็นต้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง DVR)
การตั้งค่าการบันทึก เช่น เปิดระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว(Motion Detect) และการตั้งตารางการบันทึก(Schedule)(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง DVR)
รวมทั้งคุณภาพของภาพด้วย เช่น ถ้าภาพจากกล้องมีสัญญาณรบกวนเยอะ ทั้งจอภาพ เครื่องบันทึกจะกินพื้นที่ในการบันทึกมากกว่าปกติด้วย ดังนั้นการเดินสายสัญญาณเพื่อ ไม่ให้เกิดสัญญาณรบกวนจึงมีความสำคัญ(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก บทความเรื่องสายสัญญาณ การเดินสายสัญญาณ)

ในเมื่อกล้องวงจรปิด มักจะใช้ในการเฝ้าระวัง ดังนั้น ระบบกล้องวงจรปิด ก็จะต้องมีระบบแจ้งเตือนได้ด้วย การแจ้งเตือนทางอีเมล หรือ มือถือ หรือการส่งเสียง การกระพริบจอภาพ เป็นความสามารถของเครื่องบันทึกภาพ ถ้าต้องการความสามารถพิเศษเหล่านี้ ต้องสอบถามกับผู้จำหน่าย DVR นั้นๆ (รายละเอียดเรื่องการแจ้งเตือนของ DVR หาอ่านได้จากบทความเรื่อง DVR)

ในส่วนของตัวกล้องวงจรปิดเอง ยังถูกแบ่งแยกประเภท ตามชนิดของการส่งสัญญาณอีกเป็น สองแบบหลักๆ คือ
กล้องวงจรปิดที่ส่งสัญญาณแบบ อนาล็อก (Analog CCTV Camera) เป็นกล้องวงจรปิดที่นิยมใช้ทั่วไป ราคาถูกความคมชัดสูง (รายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก บทความเรื่อง CCTV Camera)
กล้องวงจรปิดที่ส่งสัญญาณแบบ ดิจิตอล (IP Camera) เป็นกล้องวงจรปิดสมัยใหม่ นิยมใช้เฉพาะกลุ่ม มีฟังชั่นหลากหลาย ราคาสูง ยังไม่เป็นที่นิยมในทั่วไปมากนัก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง IP Camera)

นอกจากนี้กล้องวงจรปิดยังสามารถแบ่งแยกประเภท ตามรูปร่างการทำงานของตัวกล้องออกเป็น 3ประเภทหลักคือ
1. กล้องวงจรปิดแบบมาตรฐาน
2. กล้องวงจรปิดแบบอินฟราเรด
3. กล้องวงจรปิดแบบโดม
กล้องวงจรปิดรูปแบบอื่นๆ เช่น กล้องจิ๋ว, กล้องอำพราง, กล้องSpeed Dome, กล้องหลอก
86 2014-06-18 21:43:34
Visitors: 65,560